ทุกๆประสบการณ์ที่เรามี จะทิ้งรอยประทับและถูกเก็บไว้ในร่างกายเราสักแห่งหนึ่งในระบบประสาท ถ้ารอยประทับนั้นลึกซึ้ง เราสามารถรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน ดังเช่น“เงื่อนในใจ”เกิดขึ้นเมื่อเราได้ทะเลาะเบาะแว้งกับใครสักคนหนึ่ง
ถ้าร่างกายได้รับการพักที่เพียงพอ มันจะสามารถผ่อนคลายความตึงเครียดที่ถูกเก็บไว้ได้
เราสามารถเปรียบเทียบเรื่องนี้ได้กับกระดานดำ เมื่อเราตื่นนอนตอนเช้า กระดานจะว่างเปล่า แต่ทุกๆประสบการณ์ที่เราประสบมาตลอดทั้งวันเป็นเหมือนการขีดเขียนเพิ่มเติมเล็กๆน้อยๆลงบนกระดานนั้น และในช่วงเวลาหนึ่ง กระดานก็จะถูกขีดเขียนจนเต็ม และระบบประสาทก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีก กระดานจะต้องถูกลบให้สะอาดอีกครั้งหนึ่ง โชคดีที่ร่างกายของเรามีกระบวนการที่สามารถทำเช่นนั้นได้อย่างอัตโนมัติและเป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ในขณะที่ร่างกายพักผ่อนระหว่างการนอนหลับ ดังนั้นขณะที่เราพักผ่อนจึงหมายถึงช่วงเวลาที่ความเครียดถูกคลายออกและรอยประทับต่างๆถูกลบออกไป อย่างไรก็ตามปัญหาก็คือการที่เรามีรอยประทับต่างๆมากเกินไปในชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายนี้ การพักผ่อนขณะนอนหลับจึงไม่เพียงพอที่จะลบทุกอย่างออกไป
ดังนั้น การพักผ่อนขณะนอนหลับจึงดูเหมือนว่า ไม่ลึกพอที่จะขจัดรอยประทับที่อยู่ลึกกว่าได้ ดังเช่น เงื่อนในใจหลังจากที่เรามีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครสักคน เช้าวันรุ่งขึ้น เราอาจจะรู้สึกว่าความตึงเครียดลดลงไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หายไปเลยซะทีเดียว การพักที่ได้รับจากการนอนหลับจึงไม่เพียงพอ
การพักผ่อนขณะนอนหลับไม่ลึกพอที่จะขจัดความตึงเครียดทั้งหมดได้
ความตึงเครียดที่ไม่สามารถลบล้างได้ด้วยการพักจากการนอนหลับเหล่านั้น จะสะสมขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลา และท้ายที่สุดมันก็จะรบกวนระบบการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งจะส่งผลออกมาให้เห็นเป็นปัญหาทางใจและกาย โดยปกติแล้ว การรบกวนเหล่านี้สามารถปรากฏออกมาผ่าน “จุดเชื่อมต่อที่อ่อนแอที่สุด” ทางพันธุกรรมของเรา บางคนอาจจะมีปัญหาของหัวใจ ในขณะที่บางคนจะจมอยู่กับอาการซึมเศร้า แต่อาการทางพันธุกรรมไม่ใช่สาเหตุ แต่มันกลับช่วยบ่งบอกว่า สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะร่างกายของเราไม่สามารถขจัดสิ่งที่มารบกวนระบบการทำงานอย่างเป็นธรรมชาติได้เอง มันจึงแสดงออกมาเอง สิ่งรบกวนเหล่านี้ ถือได้ว่าเป็นสาแหตุหลักของปัญหาต่างๆทั้งทางกายและทางใจในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ระหว่างการฝึกจิตเมื่อเราทรานเซ็น จิตของเราจะเข้าสู่สภาวะของความเงียบจากภายในโดยสมบูรณ์ (ดู การเป็นตัวของตัวเอง) จิตใจและร่างกายของเรามักจะไปด้วยกันเสมอ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งจะไปทางไหน อีกสิ่งหนึ่งก็ต้องตามไป ด้วยการปล่อยให้จิตได้ถูกนำไปสู่ความสงบที่สมบูรณ์ภายใน โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆนั้น มันจะดึงร่างกายเราให้ไปสู่การผ่อนคลายระดับที่ลึกซึ้งอย่างแท้จริง ลึกยิ่งกว่าการผ่อนคลายที่เราได้รับระหว่างการนอนหลับเสียอีก นี่เป็นสิ่งที่สามารถวัดเป็นรูปธรรมได้อย่างถูกต้องและง่ายดาย
การผ่อนคลายระหว่าง TM ลงลึกยิ่งกว่าการนอนหลับ
กราฟนี้เป็นผลการศึกษาค้นคว้าจากโรงเรียนการแพทย์ฮาวาร์ด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงระดับของการพักโดยมีเกณฑ์การวัดจากการใช้ออกซิเจน เราจะเห็นได้ว่า ระหว่างการฝึกจิต TM ร่างกายเราเข้าสู่สภาวะการผ่อนคลายได้เร็วกว่าและลึกกว่าการผ่อนคลายที่ปกติได้รับในระหว่างการนอนหลับ การค้นคว้าที่ไม่ธรรมดานี้ถูกตีพิมพ์ในนิตยสารทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลกถึงสองฉบับ คือ Science และ Scientific American ในปีค.ศ. 1971 การศึกษานี้ถูกทำซ้ำอีกหลายครั้งทั่วโลกโดยให้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกัน การตีพิมพ์ในเวลาต่อมาของการวิเคราะห์ที่ยิ่งใหญ่กว่ากับ 31 ผลการศึกษาค้นคว้าเรื่อง TM ได้ยืนยันถึง สภาวะการผ่อนคลายในระดับที่ลึกเป็นพิเศษที่ได้รับจากการฝึก TM เป็นสภาวะที่ลึกกว่าการพักที่เราได้รับจากการหลับตาพักผ่อนธรรมดา ไม่ว่าจะวัดจาก อัตราการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ หรือผลการตรวจเลือด
ผลที่ได้คือ ร่างกายเราสามารถเริ่มที่จะเยียวยารักษาตัวเองได้จากความเครียดที่อยู่ลึกมากขึ้น หรือแม้กระทั่งความเครียดที่มีผลต่อจิตใจในระดับลึกที่สุด โดยที่การนอนหลับ(หรือการบำบัด)ในเวลาหลายปีก็ไม่สามารถละลายความเครียดในระดับลึกนั้นได้ และหากเรากำจัดที่ต้นเหตุ ผลก็จะหายไปได้เช่นกัน หากร่างกายเราสามารถขจัดความตึงเครียดที่มารบกวนระบบการทำงานแบบปกติของมัน มันก็จะเป็นการสร้างพื้นฐานในการจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มารบกวนเหล่านั้น เรื่องนี้ส่งผลในเกือบทุกๆด้านของชีวิต ดังที่สามารถเห็นได้ในเว็บไซต์นี้
อย่างไรก็ตาม ผลที่น่าประทับใจที่สุดบางเรื่อง สามารถพบได้กับคนที่มีปัญหาที่ลึกที่สุด ซึ่งก็คือ ทหารผ่านศึกและผู้อพยพ ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD) ขั้นรุนแรง ความเครียดทางจิตใจที่ฝังรากลึก ที่สัมพันธ์กับโรค PTSD นั้นโดยทั่วไปแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรักษาได้ และ ในกรณีที่ดีที่สุดเท่านั้น อาการจะสามารถระงับได้โดยการบำบัดหรือการใช้ยาอย่างหนัก
แต่ถึงกระนั้น การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกตีพิมพ์จำนวนหนึ่ง ได้แนะนำถึงการลดลงอย่างชัดเจนหรือการหายไปอย่างสิ้นเชิงของอาการของโรค PTSD ในบางกรณีหลังจากที่ได้ฝีกจิตแบบ TM ไปแล้ว 4 ถึง 12 สัปดาห์ – ข้อมูลเพิ่มเติม ดู PTSD หัวข้อของการค้นคว้าเหล่านี้ได้ถูกเปิดเผยต่อความเครียดและความบอบช้ำทางใจที่รุนแรง ผลการค้นคว้าเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของร่างกายของเราที่สามารถรักษาตัวเองได้ ตราบใดที่เราสามารถกระตุ้นพลังนั้นได้ มันสมเหตุสมผลที่จะทึกทักเอาได้ว่า หากความบอบช้ำทางใจขั้นลึกสามารถบรรเทาได้ผ่านการฝึกจิตแบบ TM ความทุกข์ทรมานจากความเครียดและความบอบช้ำทางใจในระดับที่น้อยกว่า ก็สามารถบรรเทาได้เช่นกัน
ความเครียดน้อยลง = การต้านทานความเครียดมากขึ้น
ความเครียดสร้างวงจรที่เลวร้าย: ความเครียดที่มากขึ้นก่อให้เกิดความเครียดที่เพิ่มมากขึ้นอีก แต่แค่ 20 นาที 2 ครั้งต่อวันของการฝึกจิตแบบ TM ก็สามารถพลิกวงจรนี้ได้
ความเครียดเป็นวงจรที่เลวร้าย ยิ่งเราเครียดมากเท่าไร เรายิ่งได้รับความเครียดเพิ่มขึ้นได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้นภายใต้ความเครียด เราสูญเสียสมดุลย์ เข้าไปพัวพันกับการทะเลาะเบาะแว้ง และเครียดมากขึ้นอีกได้อย่างง่ายดาย ความเครียดยังเป็นตัวกีดขวางความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย ทำให้หาทางออกให้กับปัญหาได้ยากขึ้น การเผชิญหน้ากับปัญหาที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ ก็เป็นแค่การเพิ่มความเครียดให้มากขึ้นไปอีก!
การฝึกจิตแบบทรานเซ็นจะช่วยพลิกวงจรนี้ หากร่างกายเริ่มขจัดความเครียดได้ มันก็จะสามารถกลับมาทำงานอย่างปกติได้มากขึ้น การทำงานอย่างปกติได้มากขึ้น หมายถึง การที่เราสงบได้มากขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นตัวของเรามากขึ้น การพักผ่อนจะลบล้างความเครียด ดังนั้น เราจึงมีความสงบอย่างต่อเนื่อง ความเครียดจะประทับในตัวเราได้น้อยลงอย่างง่ายดาย ร่างกายเราจะมีประสิทธิภาพในการขจัดความเครียดมากขึ้นและมากขึ้น ไม่เพียงแต่ระหว่างการทำสมาธิเท่านั้น แต่รวมถึงระหว่างกิจกรรมที่ตึงเครียดโดยปกติอีกด้วย เหมือนกับการวาดเส้นบนน้ำ – ขณะที่เราวาด มันก็จะหายไปเองโดยอัตโนมัติ
เราสามารถวัดเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง การศึกษาค้นคว้าต่างๆได้แสดงให้เห็นว่า หลังจากการฝึกจิตอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉลี่ย 3 เดือน ผู้ที่ฝึกจิตแบบทรานเซ็นเด็นทั่ล เมดิเทชั่น หรือ TM จะสงบขึ้นนอกเหนือจากการฝึกสมาธิของพวกเขา โดยวัดจาก ตังแปรต่างๆ 4 ประการ –
* อัตราการเต้นของหัวใจ
- การบริโภคออกซิเจน
-
- การต้านทานของผิวหนัง และ
-
- ฮอร์โมนความเครียด ผลการตรวดเลือด
(การค้นคว้านี้แสดงให้เห็นค่าเฉลี่ยของผลลัพธ์ของ 31การค้นคว้าต่างๆเกี่ยวกับ TM)
หากผู้ฝึก TM ถูกทดสอบโดยให้รับสภาวะความตึงเครียดจากตัวกระตุ้น การค้นคว้าเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า พวกเขาสามารถกลับคืนไปสู่ความสมดุลย์ได้ง่ายมากขึ้น เราวัดได้ว่าคนคนหนึ่งมีความต้านทานต่อความเครียดได้มากแค่ไหน และการค้นคว้าแนะนำว่า การฝึกจิตแบบทรานเซ็นให้ผลทางด้านบวกอย่างชัดเจน
การลดความเครียด ในตัวของมันเอง แท้จริงแล้วเป็นผลข้างเคียงของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ – เรากลับไปเชื่อมต่อกับธรรมชาติภายในของตัวเราเอง และทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เป็นธรรมชาติ ก็จะเริ่มมลายหายไป – ดู การฝึกจิตแบบทรานเซ็น = การฝึกขั้นสูงสุดของมนุษย์
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เรื่องผลของการฝึกจิตแบบทรานเซ็นเด็นทั่ล เมดิเทชั่น ด้านการลดความเครียด คลิกที่แถบ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ด้านบนของหน้านี้