การล่วงพ้น(Transcending) เป็นการเชื่อมต่อกับตัวตนที่แท้จริงของเราเอง… และเป็นการให้คำนิยามใหม่ว่าแท้ที่จริงแลัวตัวเราคือใครกันแน่
ในเว็บไซต์นี้ มีตัวอย่างมากมายของการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งที่เกิดจากประสบการณ์การล่วงพ้น (ดูที่นี่ สำหรับภาพรวมของผลลัพธ์ที่น่าทึ่งที่สุดของTM) อย่างไรก็ดี อาจจะมีคำถามตามมา ว่าเทคนิคการผ่อนคลายที่แสนจะเรียบง่ายจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ลึกซึ้งให้กับทุกด้านของชีวิตได้อย่างไรกัน? โดยเฉพาะ เมื่อวิธีการทำสมาธิและการผ่อนคลายแบบอื่นไม่ปรากฏผลที่ใกล้เคียงเลย มันต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับประสบการณ์การล่วงพ้นที่ลึกซึ้งกว่าแค่การผ่อนคลายที่แสนจะเรียบง่ายอย่างแน่นอน ในหน้านี้ เราจะมาหาความจริงกันว่า แท้ที่จริงแล้ว การล่วงพ้น(Transcending) คืออะไร
มีทฤษฎีอยู่มากมายที่พูดถึงการเป็นตัวเรา และธรรมชาติของจิตสำนึก ตอนนี้ ดูเหมือนว่า ทฤษฎีที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะมีความถูกต้อง โดยมีข้อความโบราณเกี่ยวกับคัมภีร์พระเวทของศาสนาฮินดูบรรยายไว้ว่า จิตสำนึกเป็นสนามโดยเป็นสิ่งที่แทรกซึมอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติ และเชื่อมต่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน แต่ด้วยวิธีการบางอย่างทำให้มีการแสดงออกของจิตสำนึกเอกบุคคลผ่านร่างกายของมนุษย์ ที่แหล่งกำเนิดความคิดของเรา เราเชื่อมต่อกับทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราอย่างใกล้ชิด และเมื่อเรามีประสบการณ์ล่วงพ้น เราก็จะได้รับประสบการณ์โดยตรงของการเชื่อมต่อนี้
ท่านจะได้เห็นเนื้อหาต่อไปนี้ในฐานะที่เป็นทฤษฎี โดยที่ท่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือแม้กระทั่งอ่าน เพื่อให้มีผลต่อการฝึกจิตแบบ TM ของท่าน TM เป็นเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นธรรมชาติ ที่ไม่ต้องอาศัยความเชื่อหรือความเข้าใจทางปัญญา เราไม่ต้องอาศัยทฤษฎีนี้ในการฝึก TM แต่เราควรทำความเข้าใจไว้เพื่อสามารถอธิบายได้ว่าทำไมต้องล่วงพ้น และด้วยการล่วงพ้นเท่านั้น จึงจะได้รับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมต่อทุกด้านของชีวิต
อะไรคือ “ตัวตนที่แท้จริง” ของเรา? เราคือใคร?
ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่คิดว่า จิตสำนึกเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการทางไฟฟ้าทุกชนิดภายในสมองของเรา เปรียบได้กับ สวิทช์เป็นล้านๆตัวในชิปประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประสบการณ์ของซอฟท์แวร์ ดังนั้น มีกระบวนการทางไฟฟ้าและเคมีเป็นล้านๆกระบวนการในสมองของเราที่ร่วมกันสร้างจิตสำนึกขึ้นมาด้วยกัน
ในมุมมองของพวกเขา พวกเราคือหุ่นยนต์ที่ซับซ้อนมาก ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้น
การอุปมาอุปไมยเรื่องคอมพิวเตอร์ฟังดูมีเหตุผล เพราะดูเหมือนว่ามันจะเข้ากันได้ดีอย่างสมบูรณ์แบบกับประสบการณ์ของเรา พวกเราต่างก็รู้ดีว่า เวลาที่เราทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในโหมด sleep ซอฟท์แวร์ก็จะหยุดทำงาน (นอนหลับ) หากบางส่วนของฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ ทำงานไม่เป็นปกติ มันก็จะส่งผลโดยตรงกับคุณภาพของซอฟท์แวร์ (ความเสียหายของสมอง) และถ้าหากฮาร์ดแวร์ชำรุด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “เกมส์โอเวอร์” (ตาย)
ในหลายปีมานี้ ด้วยความที่วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้พัฒนาเรื่อยมาจนถึงจุดที่พวกเขาสามารถอธิบายได้อย่างแม่นยำว่า การทำงานแต่ละส่วนของสมองสามารถทำให้เกิดประสบการณ์เฉพาะต่างๆได้อย่างไรนั้น ก็ยิ่งทำให้มุมมองนี้เด่นชัดขึ้น ดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้แบบอื่นใดอีกแล้ว นอกจาก: ฮาร์ดแวร์สร้างซอฟท์แวร์
แต่ถึงกระนั้น ในใจเราก็รู้ดีและรู้สึกว่าเราไม่ใช่เครื่องจักรเคลื่อนที่ หุ่นยนต์ไม่มีความอบอุ่น ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้สึก หรือความรัก คุณสมบัติต่างๆเหล่านี้เอง ที่ทำให้ มนุษย์ แตกต่างจากเครื่องจักร
เป็นเวลานับพันปี ที่เรารู้สึกได้ถึงความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่จิตบอกกับเราและสิ่งที่ใจบอกกับเรา แต่คำตอบก็อยู่ตรงนั้นตลอดเวลา
มันมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ปัญญาของเราบอกเราอย่างหนึ่ง แต่ใจกลับบอกเป็นอย่างอื่น ความขัดแย้งนี้มีมาต่อเนื่องเป็นเวลานับพันๆปี นับตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของปราชญ์ชาวกรีก
แต่คำตอบก็อยู่กับพวกเรามาตั้งแต่ต้น เราเพียงแค่ต้องปรับเปลี่ยนมุมมองเล็กน้อยเท่านั้น มันเป็นไปได้ที่มันจะเชื่อมโยงกับร่างกายของเราอย่างใกล้ชิด ดังเช่นซอฟท์แวร์ที่เชื่อมโยงกับฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ และยังคงเป็นได้มากกว่าแค่เครื่องจักรล้วนๆ ถ้าหากเราอุปมาอุปไมยเป็นอีกอย่างหนึ่งเพื่ออธิบายการทำงานของระบบประสาทของมนุษย์ล่ะ ว่าไม่เหมือนคอมพิวเตอร์ แต่เหมือนกับเครื่องรับวิทยุ
ลองจินตนาการถึงคนที่ไม่รู้ว่าเครื่องรับวิทยุทำงานอย่างไร ถ้าเช่นนั้นเขาจะเห็นอะไรล่ะ? ถ้าเขาปิดวิทยุ เพลงก็จะหยุดเล่น ถ้าหากเขาแกะเล่นฮาร์ดแวร์ของวิทยุ มันก็จะมีผลอย่างชัดเจนกับคุณภาพของเพลง และถ้าเขาทำฮาร์ดแวร์เสียหายโดยสิ้นเชิง ก็จะไม่มีเพลงอีกต่อไป
คนที่ไม่รู้ ก็จะถูกทำให้เชื่อว่าวิทยุผลิตเพลงขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง เหมือนกับที่ฮาร์ดแวร์สร้างซอฟท์แวร์
แต่แน่นอนว่า เราย่อมรู้ดีกว่านั้น วิทยุเป็นเพียงแค่อุปกรณ์ที่มีความซับซ้อน ที่ทำให้เราแสดงออกผ่านคลื่นความสั่นไปยังสนาม ซึ่งสนามนั้นใหญ่กว่าขอบเขตทางกายภาพของตัววิทยุเสียอีก และเราก็รู้ดีว่าสนามนั้นยังสามารถก่อให้เกิดดนตรีชนิดต่างๆได้ในเวลาเดียวกัน โดนการสั่นของความถี่ต่างๆ: FM 97.5 เพลงคลาสสิค – FM 101.3 เพลงร็อค – 105.6 FM เพลงแด๊นซ์
เช่นเดียวกันนั้น เราสามารถเปรียบเทียบ จิตใต้สำนึกของมนุษย์กับคลื่นในมหาสมุทร มหาสมุทรหนึ่งทำให้เกิดคลื่นต่างๆในเวลาเดียวกัน แต่ละคลื่นล้วนต่างมีลักษณะเฉพาะ แตกต่างไปจากคลื่นอื่นๆ แต่คลื่นเหล่านี้ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรเดียวกัน ร่างกายของมนุษย์แต่ละคนก็ไม่ต่างจากวิทยุมากนัก ปรับคลื่นความถี่เฉพาะตัว เพื่อที่พวกเราแต่ละคนจะได้มีดนตรีเฉพาะแบบ และความคิดของตัวเอง
เราจะเห็นได้ว่าคำอุปมาอุปไมยนี้ ไม่ได้ขัดแย้งกับการค้นพบทั้งหมดของวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ เช่นเดียวกับการที่ดนตรีเชื่อมโยงกับการทำงานของวิทยุ จิตใต้สำนึกของเราก็เชื่อมโยงกับสมองของเรา แต่ในขณะเดียวกัน การอุปมาอุปไมยนี้ก็ทำให้เราได้เห็นภาพที่กว้างขึ้นของธรรมชาติของเรา
ถ้าเราทุกคนเชื่อมโยงกันและกัน ทำไมเราถึงไม่ได้รับประสบการณ์นี้ล่ะ? จริงๆแล้ว พวกเราทุกคนมีประสบการณ์นี้ และในทุกๆวันด้วยซ้ำ
ในสาระสำคัญ ข้อสันนิษฐานนี้หมายความว่า เราทุกคนมีความเชื่อมโยงกันโดยต้นกำเนิดทางจิตของเรา แต่คำถามที่สมเหตุสมผลคือ: “ถ้าพวกเราทุกคนเชื่อมโยงกัน ทำไมเราถึงไม่รู้สึกเช่นนั้นล่ะ?” จริงๆแล้ว เรารู้สึก เราทุกคนรู้สึก เมื่อมีการร้องขอให้บริจาคเงินช่วยเหลือผู้คนจากอีกซีกโลกหนึ่งให้มีชีวิตรอดหลังจากประสบกับมหันตภัยร้ายทางธรรมชาติ พวกเราหลายๆคนก็ต้องการที่จะช่วยเหลือ ทำไมเราถึงควรช่วยเหลือล่ะ? หุ่นยนต์คงไม่รู้สึกกังวลด้วย แต่เรารู้สึก เพราะเราไม่ใช่หุ่นยนต์ เราเป็นมนุษย์ และการเป็นมนุษย์ก็หมายถึงการมีความรู้สึกเชื่อมโยงกับมนุษย์ผู้อื่น
เราประสบกับความเชื่อมโยงนี้ได้ด้วย ความรัก นั่นคือสิ่งที่ความรักเป็น คือความรู้สึกของการรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้อื่น ปัญหาคือ เรามักจะใช้ศักยภาพทางจิตของเราอย่างมีขีดจำกัดเท่านั้น และดังเช่น ประสบการณ์ด้านความรัก (และด้านอื่นๆทั้งหมดในชีวิต) ก็ถูกจำกัดมากเช่นกัน ส่วนที่จิตวิทยาสมัยใหม่ได้บรรยายไว้ว่าเป็น “จิตสำนึก” ก็สามารถนำไปเปรียบเทียบได้กับส่วนยอดของคลื่นเท่านั้น ส่วนอื่นทั้งหมดนั้นถูกซ่อนอยู่ใน “จิตใต้สำนึก” ของเรา มันอยู่ตรงนั้นแหละ แต่เราไม่สามารถประสบกับมันได้อย่างตั้งใจ โดยรากฐานของมัน ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใต้สำนึกของเรา คลื่นจะกลืนตัวเข้าด้วยกันกับมหาสมุทร ในระดับที่เราทุกคนเชื่อมโยงกันได้ หรือที่ คาร์ล ยุง ได้บรรยายไว้ว่าเป็น “กลุ่มจิตไร้สำนึก”
ทำไมเราถึงใช้เพียงส่วนเล็กๆของศักยภาพทางจิตของเราล่ะ? เพราะเราลืมว่าจะฝึกจิตให้ใช้มากกว่านั้นได้อย่างไรน่ะสิ
แต่ทำไมเราถึงไม่สามารถประสบกับระดับที่ลึกลงกว่านี้ของจิตเราได้ล่ะ? เพราะเราลืมไปว่าเราสามารถฝึกจิต และสมองให้ประสบกับสิ่งเหล่านี้ได้ จิตของเราทำงานเหมือนกล้ามเนื้อ เมื่อเราฝึกมัน มันก็พัฒนาขึ้น ถ้าเราไม่ฝึกมัน มันก็อ่อนแอลง เมื่อเราเพ่งความสนใจออกสู่ภายนอก สู่จุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะ มันก็เหมือนกับ เราทำให้แค่ส่วนยอดของคลื่นมีชีวิตชีวาเท่านั้น เมื่อเราใช้ชีวิตโดยการคงความสนใจไปที่จุดๆนั้น มันก็จะเป็นเพียงด้านนั้นของจิตที่เราตั้งใจจะพัฒนา ส่วนที่เหลือก็ถูกซ่อนไว้
เกิดอะไรขึ้นขณะปฏิบัติ TM? จิตเริ่มที่จะประสบกับความคิดในระดับที่ละเอียดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และมันเหมือนกับการที่คลื่นจมลงสู่มหาสมุทร จนกระทั่งมันทรานเซ็นลงไป (=ลงลึกไปอีก) สู่ความคิดระดับที่ละเอียดที่สุดและเข้าสู่สภาวะของการเป็นอยู่อย่างแท้จริง คลื่นกลืนตัวเข้ากับมหาสมุทรอย่างสมบูรณ์ และเราก็จะได้รับประสบการณ์เช่นมหาสมุทรนั้นในลักษณะที่เราตระหนักรู้ได้ มันเป็นประสบการณ์ที่รู้สึกได้ของธรรมชาติที่แท้จริงของเรา ธรรมชาติที่ไร้ขีดจำกัด คลื่นจะกลับมาหลังจากนั้น แต่คุณภาพของธรรมชาติที่แท้จริงของเราจะคงอยู่ในจิตของเรา ความทรงจำของธรรมชาติที่แท้จริงของเราจะยังคงอยู่ ด้วยการฝึกฝนซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอ จิตของเราก็เริ่มที่จะมีการพัฒนาศักยภาพอย่างเต็มขั้น
ด้วยการอุปมาอุปไมยนี้ เราเริ่มเข้าใจจากทัศนคติอีกด้านหนึ่งว่าทำไมประสบการณ์การทรานเซ็นถึงสามารถเข้าถึงได้ด้วยวิธีที่ไม่ต้องอาศัยความพยายามใดๆและเป็นธรรมชาติ เพียงวิธีเดียว หากเราพยายาม เหมือนกับที่เราพยายามทำกับเกือบทุกวิธีทำสมาธิอื่นๆนั้น เราก็เพียงแค่จะทำให้จิตเราตื่นตัว และตราบใดที่จิตตื่นตัว คลื่นก็จะคงรูปแบบที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของมันเอง มีเพียงคลื่นที่สงบเท่านั้นที่จะสามารถกลืนลงไปกับมหาสมุทรได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม TM ถึงเป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์และไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ และไม่เพียงแต่ดีที่จะทำเท่านั้น แต่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ความมีประสิทธิภาพของมัน
ยิ่งเราทรานเซ็นมากเท่าไร ความทรงจำก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น และธรรมชาติที่แท้จริงของเราก็ยิ่งโดดเด่นในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน การพัฒนาที่น่าทึ่งในเกือบทุกกๆด้านของชีวิตที่คนเราน่าจะสังเกตเห็นได้ด้วย TM เป็นผลลัพธ์ของสิ่งนี้
การวิจัยทั้งหมดเกี่ยวกับวิธีการฝึกจิตแบบ TM คือการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า:
- พลังในการเยียวยารักษาตัวเองของร่างกายเราน่าทึ่งเพียงใด
- ธรรมชาติที่แท้จริงของเราคืออะไร
คุณภาพของมหาสมุทร: ความเป็นเอกภาพ
เราสามารถบรรยายคุณลักษณะของมหาสมุทรซึ่งเป็นแหล่งของจิตสำนึกและต้นกำเนิดของชีวิต ได้ในหลายๆทาง แต่ท้ายที่สุดแล้วผลสรุปก็มาจบลงที่คุณลักษณะเดียวกัน ซึ่งก็คือ ความเป็นเอกภาพ
ในวรรณกรรมสมัยใหม่ทุกวันนี้ มันเป็นที่นิยมกันมากที่จะอธิบายถึงแนวคิดที่ว่า เราทุกคนเชื่อมโยงกันอย่างไร แต่สิ่งที่คนส่วนมากไม่ตระหนักถึงคือความเป็นเอกภาพทุกวันนี้มันกลายเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น การค้นพบล่าสุดทางฟิสิกส์ได้ชี้แจงถึงข้อเท็จจริงของหลักสากลของจิตใต้สำนึกที่อยู่ที่แหล่งกำเนิดของความเป็นเอกภพทางกายของเรา ดู ความเป็นเอกภาพ ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์?
จากการวิเคราะห์ถึงคุณลักษณะของความเป็นเอกภาพเหล่านี้ทีละคุณลักษณะแล้ว เราไม่เพียงแต่ได้มาซึ่งภาพลักษณ์ที่ชัดเจนขึ้นว่า ทำไมการฝึกจิตแบบทรานเซ็นเด็นทั่ลเมดิเทชั่นถึงได้มีผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แต่มันยังช่วยให้เราเข้าใจคุณลักษณะในความเป็นมนุษย์ของเราเองมากขึ้นอีกด้วย
ความเป็นเอกภาพ = ชีวิต: ภูมิปัญญาสร้างสรรค์ สติปัญญา ความสำนึกตน
การคันพบล่าสุดทางฟิสิกส์แสดงให้เห็นถึงรูปลักษณ์ของสิ่งทั้งมวลในชีวิตที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ ชีวิตเป็นสิ่งที่สากล เป็นสิ่งที่เป็นหลักสากลของจิตใต้สำนึก ชีวิต ซึ่งเป็นสติปัญญา ภูมิปัญญาสร้างสรรค์ และจิตสำนึก อยู่ในทุกหนแห่งในธรรมชาติ และธรรมชาติของมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ชีวิตของมนุษย์มีขึ้นเพราะร่างกายของมนุษย์ทำงานเช่นเดียวกับวิทยุ และสามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้
หากเรามองด้วยมุมมองทางหลักตรรกะล้วนๆ คำอุปมาอุปไมยเรื่องคอมพิวเตอร์นั้นฟังดูไม่มีเหตุผลเลย กลุ่มของลูกกลมๆเล็กที่เป็นสสารที่ตายแล้ว เช่นอตอมในคอมพิวเตอร์ชิพ ไม่ว่าพวกมันจะอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากเท่าใด มันก็ไม่สามารถสร้างชีวิตขึ้นมาได้ แต่ชีวิต ด้วยคุณภาพของสติปัญญาและภูมิปัญญาสร้างสรรค์ สามารถสร้างสิ่งต่างๆทางกายขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ ดูอย่างประติมากรท่านใดก็ได้
เรากลับไปสัมผัสกับต้นกำเนิดของชีวิต โดยการทรานเซ็น ผู้ฝึกจิต TM รู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น สุขภาพดีขึ้น และรู้จักตนเองมากขึ้น (ดู การล่วงพ้น=การเป็นตัวของตัวเอง) รวมทั้งมีสติปัญญาและมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
ความเป็นเอกภาพ = ความคิดแง่บวกล้วนๆ: การเติบโต วิวัฒนาการ ความสุข ความสงบ
ในชีวิตประจำวันของเรา เราพูดในสิ่งที่มีความหมายตรงกันข้าม ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่น: ร้อน-หนาว สว่าง-มืด รัก-เกลียด แง่บวก-แง่ลบ ขึ้นและลง ในระดับของความเป็นเอกภาพ ความแตกต่างเหล่านี้หายไป และมีเพียงคุณลักษณะหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่ ซึ่งข้อความโบราณได้บรรยายไว้ว่าเป็นความคิดแง่บวกล้วนๆ เราสามารถสังเกตคุณลักษณะนี้ในธรรมชาติได้ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะเติบโตขึ้นและมีวิวัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้นเสมอ เราสามารถสังเกตคุณลักษณะนี้ในตัวของเราเองได้เมื่อเรามีความสุข ความสุขคือการแสดงออกของธรรมชาติ(ในแง่บวก)ของเราอย่างแท้จริง ความเป็นเอกภาพเชื่อมโยงกับความสงบเช่นกัน เมื่อความแตกต่างทั้งหมดหายไป ข้อขัดแย้งก็ด้วย สิ่งที่ยังคงอยู่คือความสงบ
สิ่งแรกที่ผู้ฝึกจิต TM มักจะประสบคือ ความสงบและความสุขในระดับขั้นที่ลึกและละเอียดกว่า (สิ่งนี้สามารถวัดได้อย่างแม่นยำด้วยการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนความสุข เซอโรโทนิน ในสมอง ระหว่างการฝึกจิตแบบ TM) ในระยะยาว สภาวะของความสุขและความสงบที่ละเอียดขึ้นนี้จะคงอยู่ภายนอกการทำสมาธิ เมื่อประสบการณ์นี้ถูกฝังแน่นในความมีตัวตนของเรามากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ
“อย่าต่อสู้กับความมืด แค่เปิดไฟก็พอ” ท่านมหาริชี
โดยการทำให้สิ่งที่เป็นแง่บวกมีชีวิตชีวาในจิตสำนึกของเรา สิ่งที่เป็นแง่ลบก็จะมลายหายไป ความเครียดก็จะหายไป ความติดแง่ลบ ความซึมเศร้า และความกลัวก็หายไป เช่นเดียวกับที่ความมืดหายไปโดยอัตโนมัติตอนที่ไฟเปิดขึ้นมา มันเรียบง่ายแบบนั้นเอง
ความเป็นเอกภาพ คือการเชื่อมต่อ: ความรัก
ความรักเป็นความรู้สึกของการรู้สึกเชื่อมโยงกับอีกคนหนึ่ง ในระดับที่ผิวเผินในชีวิตประจำวันของเรา เราเพียงแค่รู้สึกถึงการเชื่อมโยงนี้ในขอบเขตที่จำกัด กับคนกลุ่มเล็กๆที่เราใกล้ชิดด้วยมาก เช่น คนรัก ครอบครัว หรือเพื่อนของเรา และอื่นๆ ในต้นกำเนิดทางจิตของเรา ซึ่งเป็นมหาสมุทร เราเชื่อมโยงกับทุกคน บางครั้งเราสัมผัสได้ เมื่อเราส่งเงินไปให้ผู้คนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งเพื่อที่จะช่วยเหลือพวกเขาหลังจากประสบภัยร้ายแรงทางธรรมชาติ เป็นต้น พวกเขาเหล่านั้นคือคนที่เราไม่เคยเจอ คนที่เราไม่เคยมีความเกี่ยวโยงกันทางกายหรือใดๆก็ตาม แต่เราก็ยังรู้สึกเชื่อมโยงกับพวกเขา เรายังต้องการช่วยเหลือพวกเขา เพราะว่าเราต่างมีความเชื่อมโยงกัน
ผู้ฝึกจิต TM ที่มีประสบการณ์ลักษณะนี้อย่างสม่ำเสมอจะรู้สึกได้ถึงการเติบโตของคุณลักษณะเหล่านี้ พวกเขากลายเป็นคนที่มีความรักใคร่ในความสัมพันธ์ของพวกเขา เริ่มปฏิบัติกับผู้อื่นดีขึ้น รู้สึกถึงการเชื่อมโยงกับธรรมชาติมากขึ้น และอื่นๆ
ความเป็นเอกภาพ = การรอบรู้
ในระดับของชีวิตประจำวันของเรา เรามีการรับรู้ในขอบเขตที่จำกัดของสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมของเราโดยตรง สิ่งที่เราสามารถสังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัสของเราและวิเคราะห์ด้วยสติปัญญาของเรา ในระดับของมหาสมุทร เราพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกัน และมีข้อมูลอยู่เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง คนส่วนมากสัมผัสได้ว่าพวกเขารับรู้ได้ด้วยจิตใต้สำนึกมากกว่าแค่สิ่งที่อยู่ในระดับจิตที่รู้สำนึกเท่านั้น บางครั้งแรงกระตุ้นจากภายในที่เข้าถึงจิตสำนึกของเรา ซึ่งเรารับรู้ได้ว่าเป็น สัญชาตญาณ ซึ่งคือความรู้สึกกล้าหาญที่เรารับรู้มากกว่าที่สติปัญญาของเราจะสามารถบอกเราได้ บางคนมีพรสวรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่ใช้สัญชาตญาณมากกว่าคนอื่น เช่นเดียวกับการที่บางคนมีพรสวรรค์ด้านกีฬาหรือในการเล่นเปียโน พวกเขาได้พัฒนาความสามารถที่ติดตัวทุกคนมาแต่กำเนิด
ผู้ฝึกจิต TM ไม่เพียงแต่ได้รับประสบการณ์ของการพัฒนาสัญชาตญาณของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังได้รับความคิดที่ถูกต้องในเวลาที่ถูกต้องอีกด้วย เปรียบเสมือนสุดยอดคอมพิวเตอร์ที่สามารถประมวลผลของทุกๆความคิดที่เป็นไปได้และสอดคล้องกับธรรมชาติด้านบวกของมันอย่างแท้จริง สร้างความคิดที่ส่งผลด้านบวกออกมามากที่สุดทั้งสำหรับตัวเองและสภาพแวดล้อม
A good example of spontaneously getting the right thought comes from the students of the Maharishi School of the Age of Enlightenment in the United States. This is a small school on Iowa, where children practice Transcendental Meditation throughout primary and secondary school. These students have won the world championships in Destination Imagination’s creative problem solves 4 times already (a series of competitions in which every year 100.000 of the world’s most creative children take part). No other school in the world has been able to replicate this. They just have the right creative solution at the right time. This extraordinary success is one of the reasons why more and more governments support TM in education.
Unity = Infinite organising power
เอกภาพ = พลังบริหารจัดการที่ไม่สิ้นสุด
ในระดับของมหาสมุทรนั้น ทุกสิ่ง
At the level of the ocean everything is created from within the ocean. At this level we speak of omnipotence, or an infinite organising power. Individuals have the ability to create, not only with their hands, but even at the level of their own consciousness. In New Age literature these days there is a lot of mention of positive thinking, visualisations and affirmations. When we focus on positive things, we notice that our environment becomes more effectively positive and supportive, is how the theory goes.
In practice this only works for some people, while for most it will take a long time before they really notice any effect, because we try to create an influence from the most superficial part of our conscious mind.
It’s a bit like throwing a stone into a lake from a far distance. You can only throw a small stone, and the waves that you’re able to create (the influence that you can create) aren’t very big, hardly noticeable. By practicing TM we start to learn how to use a larger part of our mental potential, and it’s like we’re getting closer to the lake. We are now able to throw bigger stones, with bigger effects.
TM practitioners will notice in time that not only will they get the right thought spontaneously, but they will also get more support from their environment for a successful outcome of that thought. In religious terms one could say that it’s like “God’s will” supports the thought, and everything is organised to make the thought of wish happen. This is why TM practitioners generally have more success, both personally and professionally.
Studies in Norway for example have observed that the difference between people who are extremely successful and normal people is directly linked to how coherent the brain works as a whole (a way to objectively measure how transcendent our consciousness is integrated into everyday life). The difference between normal managers and top managers, and normal athletes and world-class athletes, is in the brain. (see developing brain potential)
Unity, measurable in the brain
All these concepts may sound very abstract and may seem far from practical daily life, but with modern technology we can see the practical effects immediately. Through EEG coherence measurements, we can see in real time how our brain gets more interconnected, and start to function more as one unified whole. EEG coherence has been linked to decreased ADHD, impulsivity, neurotism and emotional instability, and increased ethical behaviour (more love), intelligence, creativity. It has also been linked to improved learning ability, faster reflexes, better academic results etc. Everything that makes human life so special appears to improve when our brains start to function more as one unified whole. And transcending is the most powerful method ever researched to create this more unified functioning.
Unity = Invincibility
Transcending has an effect in all areas of life, and all at the same time, because it brings us in contact with the source of all life. This is confirmed in more than 600 researches and 350 publications around TM. But all these improvements are only side effects of a total new state that grows within our consciousness, a state that Maharishi liked to describe with the word “invincibility”.
In this state our inner peace and happiness are invincible, nothing and no one can disturb it. In this state we have invincible self-awareness, we will always remain ourselves, whatever happens. In this state we have invincible creative potential. There is no problem to which we can find no solution (a bit like the students of the Maharishi school, they aren’t fully invincible, they haven’t yet won every world championship, but more than any other school in the world). In this state we feel invincible connectedness, a love for others that can not be overshadowed by anything or anyone.
The message that Maharishi has brought from the beginning was that that it’s a birth right for everyone to experience this state. This is the real life. We just have to learn how to get back in touch with its source.
“I call my method meditation, but it is, in fact, a technique of self-exploration; it enables a man to dive into the innermost reaches of his being, in which dwell the essence of life and the source of all wisdom, all creativity, all peace, and all happiness…The word meditation is not new, nor are the benefits of meditation new…But for centuries the technique of meditation of this kind has been forgotten. This is why man suffers, or seems to suffer.”
Maharishi Mahesh Yogi